THERMODYNAMICS ll BY TARO |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
::Exercises for Test:: |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
::ลิ้งค์เว็บเพื่อนๆ:: |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
::LINKS:: |
|
|
|
|
|
|
|
|
© TARO
|
การขนส่งก๊าซธรรมชาติ
จากความต้องการก๊าซธรรมชาติที่นับวันเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่การผลิตมีจำกัด ดังนั้น ในการนำก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่ติดไฟ ลุกไหม้ และระเบิดได้ มาใช้ประโยชน์นั้น จำเป็นต้องใช้การขนส่งที่มีประสิทธิภาพสูง ที่สำคัญต้องเป็นระบบที่สามารถนำ ก๊าซธรรมชาติไปสู่มือผู้บริโภคได้อย่างปลอดภัยและต่อเนื่อง เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด การขนส่งก๊าซธรรมชาติในสถานะของก๊าซ จึงเหมาะสมที่จะใช้กระบวนการขนส่งโดยระบบท่อมากที่สุด เนื่องจากเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ที่สำคัญคือแยกออกจากการขนส่งมวลชนโดยเด็ดขาด

ก๊าซแห้งเช่น มีเทนและอีเทนมีสถานะเป็นก๊าซที่อุณหภูมิและความดันบรรยากาศ ดังนั้นการขนส่งจึงมักใช้วิธีการขนส่งทางท่อ ก๊าซปริมาณมาก ๆ สามารถทำให้เย็นถึง 160oC กลายสภาพเป็นของเหลว เรียกก๊าซธรรมชาติเหลวหรือแอลเอ็นจี (Liquefied natural gas - LNG) และขนส่งทางเรือ โดยการเก็บในถังอลูมิเนียมเย็นจัด แต่วิธีการนี้เป็นวิธีที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงและแพง ส่วนก๊าซชื้นซึ่งประกอบด้วยโพรเพนและบิวเทนประมาณ 4-8 % สามารถทำเป็นของเหลวได้เช่นกัน ด้วยวิธีการใช้ความดันประมาณ 120 ปอนด์ต่อตารางนิ้วที่อุณหภูมิปกติ การแยกก๊าซแอลพีจีเป็นสิ่งทำได้ง่ายและอาจจะแยกได้ที่แหล่งผลิตบนบกเลย เช่น ที่ลานกระบือ แหล่งน้ำมันดิบสิริกิติ์เป็นต้น เมื่อแยกออกมาแล้วก๊าซแอลพีจีจะถูกเก็บไว้ในถังรอการขนส่งที่ทำได้ทั้งทางรถและทางเรือ ในการผลิตก๊าซธรรมชาติจะได้ส่วนที่เป็นของเหลว ณ อุณหภูมิและความดันบรรยากาศ ซึ่งเรียกว่า ก๊าซธรรมชาติเหลวเหมือนกัน หรือ เรียกอีกชื่อว่า "คอนเดนเสท" (condensate) โดยจะถูกแยกออกมาที่ปากหลุมและใช้วิธีการขนส่งทางเรือ หลังจากที่บริษัทยูโนแคลได้ค้นพบก๊าซธรรมชาติในพื้นที่สัมปทานในอ่าวไทย และพิสูจน์ว่ามีปริมาณมากพอในเชิงพาณิชย์แล้ว จึงเป็นหน้าที่ของ ปตท. ที่จะพัฒนานำก๊าซมาใช้ประโยชน์ต่อไป ปตท. ได้วางท่อก๊าซจากแหล่งต่าง ๆ ได้แก่ แหล่งเอราวัณ กะพง ปลาทอง ปลาแดง สตูล และบรรพต เป็นระยะทางยาว 454 กิโลเมตร มาขึ้นฝั่งที่จังหวัดระยอง ท่อก๊าซนี้มีขนาด 34 นิ้ว ในปี 2539 ปตท.ได้สร้างท่อคู่ขนานจากแหล่งเอราวัณมาขึ้นฝั่งที่เดียวกัน ทำให้สามารถรับก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกหนึ่งเท่าตัว ปัจจุบันประเทศไทยได้ผลิตก๊าซธรรมชาติขึ้นมาใช้ คิดเป็นประมาณ 17 % ของพลังงานที่ใช้ทั้งหมด จากมาบตาพุุด จ.ระยอง ก๊าซได้ถูกส่งผ่านท่อไปยังลูกค้าเพื่อใช้ประโยชน์ต่าง ๆ กัน ท่อบกท่อแรกเป็นท่อตรงไปยังโรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่บางปะกงและที่โรงจักรพระนครใต้ ท่อนี้มีระยะทางยาว 167 กิโลเมตร ท่อย่อยในทะเลที่สร้างเสร็จเมื่อไม่นานมานี้คือ ท่อจากแหล่งก๊าซบงกชไปยังแท่นผลิตเอราวัณ และท่อจากเอราวัณไปยังขนอม จ. นครศรีธรรมราช เมื่อท่อส่วนนี้เสร็จ ปตท. ก็สามารถส่งก๊าซไปยังโรงไฟฟ้าที่ขนอมได้ด้วย ปตท. ยังได้ต่อท่อจากแหล่งก๊าซน้ำพอง จ.ขอนแก่น ไปยังโรงไฟฟ้าน้ำพองใกล้ ๆ กันนั้น ก๊าซธรรมชาติใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนเชื้อเพลิงอื่น ๆ ได้ด้วย จึงมีการต่อท่อจากบางปะกง ไปยังโรงงานปูนซีเมนต์ที่แก่งคอยและท่าหลวง จ.สระบุรี ท่อนี้ยาวเป็นระยะทาง 180 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีการต่อท่อไปยังโรงงานเซรามิคซ์ โรงงานสุุุุขภัณฑ์ โรงงานเหล็ก โรงงานทองแดง และโรงงานปิโตรเคมี และรัฐบาลมีนโยบายชัดเจนที่จะสนับสนุนการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า
|
|